เงือกเป็นอมนุษย์สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกที่อาศัยอยู่ได้ทั้งบนบกและในน้ำ เชื่อกันว่าเงือกพวกนี้อาจมีถิ่นกำเนิดบนฝั่งบริตานี และเดินทางว่ายข้ามข้ามช่องแคบอังกฤษไปยังคอร์วอลล์ ซึ่งเป็นที่มาให้ผู้คนเรียกชื่อสถานที่แห่งนี้ว่า ‘เมอร์เมด-เมอร์แมน(เงือกตัวเมีย-ตัวผู้)’ ซึ่งเป็นคำผสมของภาษาแองโกลและฝรั่งเศส เมื่อว่ายน้ำมาถึงคอร์นวอลล์ เงือกก็จะขยายพันธุ์ไปไกลจนถึงทะเลฝั่งตะวันตกของเกาะอังกฤษ และเลยไปถึงรอบๆประเทศสกอตแลนด์ตอนเหนือสู่สแกนดิเนเวีย นอกจากนี้ ยังอาจมีบางครั้งที่เราสามารถพบเห็นเงือกได้ตลอดแนวฝั่งยุโรปและตลอดแนวฝั่งแอตแลนติกของประเทศอังกฤษกับไอร์แลนด์ด้วย ซึ่งเหตุผลที่พบมาจากการที่เงือกชอบอากาศเย็นนั่นเอง
แต่ละประเทศก็มีตำนานเล่าถึงการกำเนิดของนางเงือกในรูปแบบที่แตกต่างกัน โดยหากเป็นนิทานพื้นบ้านของโรมัน จะกล่าวไว้ว่า เมื่อครั้งที่มีสงครามกรุงทรอย ได้มีเศษไม้ที่แตกมาจากซากเรือรบที่ถูกเผาวอดวาย และเศษไม้เหล่านั้นก็ได้กลายสภาพมากำเนิดเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า เงือก นั่นเอง ส่วนชาวไอริช ก็มีตำนานเล่าว่า นางเงือก คือ หญิงสาวนอกศาสนาที่ถูกขับไล่ให้ออกไปจากแผ่นดิน ส่วนบางท้องถิ่น ก็เชื่อกันว่า แท้ที่จริงแล้วชาวเงือก ก็คือ บรรดาลูกของกษัตริย์ฟาโรห์ที่จมน้ำตายในทะเลแดงนั่นเอง
ส่วนตำนานของเทพกรีก ได้มีความเชื่อว่า ต้นตระกูลของเงือก คือ ไตรตอน ซึ่งมีบิดาชื่อว่า โพเซดอน ผู้เป็นเทพเจ้าแห่งท้องทะเล และมีมารดาเป็นพรายน้ำสาวตนหนึ่ง โดยหากกล่าวถึงไตรตอน ผู้คนมักจะนึกถึงไตรตอนที่มีหางเป็นปลา มีหนวดเครายาว และมีอำนาจยิ่งใหญ่ในท้องทะเล ที่พักของไตรตอนอยู่ในปราสาททองคำที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ทะเลลึก ไตรตอนมีอาวุธเป็นตรีศูล(ฉมวกสามง่าม) และคอยเป่าแตรหอยสังข์ เพื่อใช้ควบคุมความสงบให้แก่ท้องทะเล ด้วยเหตุนี้ ไตรตอนจึงมีอีกหนึ่งสมญานามว่า “นักเป่าแตรแห่งท้องทะเล”
บางตำนานก็เล่าว่า ชาวเงือกรุ่นบุกเบิกแท้จริงแล้ว คือ โอนเนส (Oannes) ผู้เป็นเทพแห่งทะเลของชาวบาบิโลน ซึ่งเป็นอาณาจักรโบราณในแถบเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ โอนเนสมีร่างกายเป็นมนุษย์ แต่มีศีรษะเป็นปลา นอกจากนี้ เทพผู้นี้ยังถือเป็นผู้มีพลังอำนาจต่อดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อีกด้วย โดยโอนเนสมักจะปรากฏกายขึ้นมาจากท้องทะเลในช่วงเวลาเช้าและหายตัวไปในทะเลตอนเวลาค่ำในทุกๆวัน เมื่อเวลาผ่านไป เทพอียา(Ea) ผู้มีลักษณะเป็นครึ่งคนครึ่งปลาเช่นกันกับโอนเนส ได้ขึ้นมามีบทบาทแทนที่โอนเนส จึงเชื่อถือกันว่า เทพเจ้าอียาเป็นบรรพบุรุษของเงือกนั่นเอง ส่วนเทพเจ้าอาทาร์การ์ติส (Atargartis) ก็ถือเป็นตัวแทนแห่งดวงจันทร์ ซึ่งมีลักษณะรูปร่างเป็นครึ่งคนครึ่งปลาเช่นกัน
สำหรับสาเหตุที่เทพเจ้าหลายองค์ของชาวบาบิโลนมีลักษณะเป็นครึ่งคนครึ่งปลานี้ ก็เพราะพวกเขามีความเชื่อว่า ในทุกๆวัน ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จะขึ้นและจมหายลงไปในทะเลทุกครั้ง ดังนั้น เทพเจ้าที่เขานับถือ จึงควรมีรูปร่างลักษณะที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ทั้งบนบก และในน้ำนั่นเอง
เรื่องเล่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งเร้นลับที่ยังไม่มีใครสามารถอธิบายได้ เงื่อนงำทั้งหมดยังคงซ่อนอยู่ และถูกสืบทอดต่อกันมาหลายๆปี ซึ่งเล่าผ่านเรื่องราวของเงือก ว่ากันว่ากระจกที่นางเงือกใช้สำหรับส่องนั้นถือเป็นตัวแทนของดวงจันทร์ ซึ่งการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์ไปรอบโลกทำให้เกิดมีอิทธิพลต่อปรากฎการณ์น้ำขึ้นน้ำลง ซึ่งความเชื่อมโยงกันของสองสิ่งนี้ ได้ช่วยให้ตำนานนางเงือกมีความซับซ้อนและพิศดารมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม
หลังจากที่คริสตศาสนาได้เริ่มมีขึ้น ตำนานนางเงือกก็ถูกปรับเปลี่ยนแง่มุมไปจากเดิม ศาสนาคริสต์เชื่อว่า นางเงือกสามารถมีชีวิตจิตใจและมีวิญญาณได้ หากแต่จะต้องให้คำสัญญาว่าจะอาศัยอยู่บนบกตลอดไป โดยไม่คิดกลับคืนสู่ใต้ทะเลอีก แต่เรื่องดังกล่าวกลับเป็นไปไม่ได้ และสร้างความทุกข์ใจอย่างแสนสาหัสให้แก่เธอเป็นอย่างมาก
หนึ่งในเรื่องราวที่น่าเศร้าสะเทือนใจเกี่ยวกับนางเงือก มีเรื่องเล่าอยู่ว่า นางเงือกได้ไปเยี่ยมนักบวชรูปหนึ่งในเกาะไอโอนา (Iona) ซึ่งเป็นเกาะขนาดเล็กที่ตั้งห่างออกไปจากประเทศสกอตแลนด์ สถานที่แห่งนี้เป็นที่เคารพสักการะที่นางเงือกเดินทางไปอยู่เสมอ ทุกครั้งที่เธอไป นางเงือกจะขอชีวิต จิตใจ และวิญญาณจากนักบวชรูปนั้น ซึ่งนักบวชก็สวดมนต์ขอพรให้สัมฤทธิ์ผลแก่เธอ แต่มีข้อแม้ว่าเธอจะต้องไม่กลับมาที่ท้องทะเลอีกตลอดไป ซึ่งแม้ว่านางเงือกอยากจะมีชีวิตและจิตใจมากเพียงใดก็ตาม เธอก็ไม่อาจจะละทิ้งทะเลอันเป็นที่รักของเธอไปได้ สุดท้ายเรื่องราวของเธอก็จบลงอย่างโศกเศร้าเล็กน้อย นางเหงือได้ออกไปจากเกาะนั้น และน้ำตาที่หลั่งไหลออกมาของเธอก็ได้กลายมาเป็นก้อนกรวดสีเขียวเทาที่พบบนเกาะไอโอนา
เวลาออกทะเล ชาวประมงอาจจะเคยเห็นนางเงือกอยู่บ่อยๆ ยิ่งในช่วงเวลาที่มีคลื่นลมแรงจัดด้วยแล้ว จะยิ่งสามารถพบเห็นนางเงือกพวกนี้ได้ง่ายมากขึ้น และดูสวยงามเตะตาเป็นอย่างมากเมื่อกลุ่มเงือกโลดแล่นอยู่ในทะเลขณะที่กำลังมีคลื่นถาโถม ร่างกายสีเงินยวงของนางเงือกมองดูระยิบระยับจับตาอยู่เหนือคลื่น อีกทั้งดวงตาสีเขียวยังเปร่งประกายสุกใสในยามเมื่อพวกเงือกไถลตัวขึ้นลงตามลูกคลื่น
แม้ว่าเงือกเหล่านี้จะอาศัยอยู่ใต้ท้องทะเล แต่พวกมักก็มีภาษาและวัฒนธรรมเป็นของตนเองเช่นกันไม่แตกต่างไปจากมนุษย์ที่อยู่บนบก อย่างไรก็ตาม เงือกก็สามารถพูดภาษาคนปกติบนแผ่นดินที่อยู่ไม่ไกลจากตัวมันได้เช่นกัน ส่วนอุปนิสัยของเงือกนั้น เป็นที่รู้กันว่า นางเงือกชอบออกมาท่องเที่ยวตามชายฝั่ง บางครั้งก็จะออกมานั่งหวีผมที่ยาวสลวยอยู่บนหากทราย หรือนั่งฟังเสียงคลื่น เสียงนกร้องบ้างก็มี
เงือกจึงถือเป็นสิ่งมีชีวิตทางทะเลที่มีปัญญาที่ฉลาดที่สุด อีกทั้งยังมีความว่องไวเกินกว่าที่ใครจะเข้าไปยุ่งเรื่องของพวกมันได้ อาหารของนางเงือก ก็คือ ปลาและอาหารทะเลอื่นๆ อย่างไรก็ตาม นางเงือกไม่เคยจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการตกปลาของชาวประมงเลย เว้นเสียแต่ว่ามนุษย์นั่นแหละ ที่มักจะเข้าไปรุกรานความสงบสุขของนางเงือกอยู่เสมอ
นางเงือกเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจ เพราะนางมีความสวยและมีความลึกลับ ทำให้เกิดความน่าค้นหา นางเหงือกที่มีผมสีบลอนด์แก่อ่อนต่างระดับ จะเรียกกันว่า “สตรอเบอรีบลอนด์” อีกทั้งยังมีดวงตาสีเขียวหรือเขียวอมฟ้ากลมโต ซึ่งเป็นสีเดียวกับน้ำทะเลด้วย ส่วนผิวพรรณในส่วนที่คล้ายคนก็มีสีขาวบริสุทธ์ราวกับไข่มุก สัดส่วนองค์เอวของนางเงือกก็ดูสมส่วนพอเหมาะสวยงาม เมื่อนางเงือกลงไปอยู่ในทะเลจึงมองดูเหลือบเป็นสีเงิน
นอกจากนี้ ชาวเงือกยังมีอายุที่ยาวนาน กว่าที่นางเงือกจะโตหรือจะแก่ได้จะใช้เวลาที่ยาวนานกว่ามนุษย์หลายเท่า ทำให้ยากที่จะสามารถเดาอายุที่แท้จริงของนางเงือกได้ ด้วยเหตุนี้ นางเงือกจึงสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อย่างยาวนาน และมีช่วงเวลาของการเป็นสาวที่ยาวนานนับหลายๆปีเลยทีเดียว ส่วนนายเงือกที่เป็นชายก็มีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาไม่เบา นายเงือกจะมีรูปร่างบึกบึน ร่างกายปกคลุมไปด้วยขน และมีผิวสีคล้ำกว่านางเงือกที่เป็นเพศเมีย ส่วนการปรากฏตัวนายเงือกก็ดูอ่อนโยนมากกว่าบุคลิกที่มันแสดงออกมาอย่างมากเลยทีเดียว
ด้วยความที่เงือกเป็นสิ่งที่ไม่มีวิญญาณ แต่กลับมีอำนาจเหนือธรรมชาติ ซึ่งมีผลให้เป็นอมตะและสามารถล่วงรู้อนาคตได้ อย่างไรก็ตาม พวกมันมักจะมีนิสัยเห็นแก่ตัว ไร้สาระ และอิจฉาริษยาด้วย
หากกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับเงือก ก็ถือเป็นเรื่องราวที่แสนซับซ้อนและยากจะเข้าใจ เพราะทั้งมนุษย์และเงือกก็ต่างประทับใจในความงามของร่างกายในแต่ละฝ่าย ความรักและความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตทั้งสองจึงเกิดขึ้นและเกิดเป็นเรื่องเล่าต่างๆมากมาย แต่ความแตกต่างทางด้านบุคลิกและการดำรงชีวิตที่ไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง จึงทำให้ความสัมพันธ์ในทุกครั้งต้องจบลงด้วยความเศร้า เพราะนางเงือกไม่อาจทนอยู่กับมนุษย์เพศชายได้นาน เธอมักจะมีนิสัยรักเสรี และคิดว่าชีวิตบนบกที่แห้งแล้งและเต็มไปด้วยฝุ่นมลพิษเป็นสิ่งที่น่ายุ่งยากสำหรับเธอ อีกทั้ง นางเงือกจะไม่ยอมทำงานบ้านงานเรือน สิ่งเดียวที่เธอสามารถทำได้ ก็คือ การนั่งส่องกระจก และหวีผม ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป จึงทำให้ความรักที่ฝ่ายชายเคยมีก็จะจืดจางลงไปเรื่อยๆนั่นเอง นางเงือกจะทนไม่ได้ที่ต้องตกเป็นหัวข้อให้ชาวบ้านรวมหัวกันซุบซิบนินทาเธอ จนในที่สุด ก็ต้องหนีกลับทะเลไปเหมือนเช่นเดิม และกลับไปทำกิจกรรมร่วมกับกลุ่มเงือกเหมือนอย่างที่เคยทำในอดีต
หากนางเงือกและมนุษย์สมสู่กัน เชื้อสายที่ออกมาจะมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ แต่จะมีพังผืดที่มือและเท้าแถมมาด้วย ทำให้บุคคลผู้นั้นสามารถว่ายน้ำได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ทำกิจกรรมอื่นๆไม่เก่ง ด้วยเหตุนี้จึงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้นางเงือกและลูกๆต้องทิ้งชีวิตบนฝั่ง และกลับไปรวมกลุ่มกับสังคมเดิมๆในเวลาถัดไป
หากนางเงือกโกรธเพราะถูกขัดขวางหรือดูถูก เธอจะทำการแก้แค้นบุคคลผู้นั้นอย่างแสนโหดร้ายทารุณ ชาวประมงที่เคยได้นางเงือกเป็นเมียจึงไม่ควรออกทะเลอีกต่อไป เพราะพวกเธอจะถือว่าชีวิตคู่ที่ไปกันไม่รอดนั้น เป็นความผิดของมนุษย์ หลังจากที่เธอจากไปแล้ว พวกเขาเหล่านั้นจะไม่มีวันจับปลาได้อีกต่อไปเลย มากไปกว่านั้น หากพวกเขายังดื้อดึงที่จะออกทะเลต่อไป ก็อาจจะพบจุดจบในชีวิตโดยการถูกทิ้งให้อยู่กลางทะเลแบบไม่มีวันกลับสู่ชายฝั่งได้อีกเลยก็เป็นได้
แต่ด้วยต้องการประโยชน์จากนางเงือก ชุมชนประมงตามชายฝั่งทะเลจึงต้องจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีงามระหว่างตนกับนางเงือกไว้ เพราะรู้ว่านางเงือกเป็นผู้มีอำนาจในการหยั่งรู้ และสามารถทำนายอนาคตให้แก่ชาวประมงได้ ไม่วาจะเป็นเรื่องของสภาพดินฟ้าอากาศ สภาพภูมิประเทศที่มีปลาชุกชุม นางเงือกก็สามารถยั่งรู้ได้ทั้งสิ้น ส่วนค่าจ้างของนางเงือกก็ไม่ได้จ่างกันเป็นเงินมอง แต่เธอจะทำงานเพื่อแลกกับหวีทองคำและกระจกทองคำเท่านั้น
ในบางครั้ง พวกเงือกจะเชื่อมโยงตนเองกับลูกของมนุษย์ โดยการสำแดงตนเป็นผู้พิทักษ์เด็กก็มี นางเงือกพวกนี้สามารถลงโทษใครก็ได้ที่มารบกวนให้เด็กได้รับความเจ็บไข้หรือไม่สบายในทุกรูปแบบ ในทางตรงกันข้าม ก็มีตำนานที่เล่าว่า นางเงือก คือนางฟ้าฝ่ายอธรรมเช่นกัน เพราะพวกเธอมักจะใช้เสียงอันไพเราะเพราะพริ้งล่อลวงให้ชายหลงใหลได้ปลื้ม จากนั้นจะกล่อมจนหลับ แล้วจึงใช้ฟันอันแหลมคมฉีกเนื้อของมนุษย์ออกเป็นชิ้น ก่อนจะกินเนื้อของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายนั้นอย่างอิ่มอร่อย
|